วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2564

งานที่2

 เกลียว

ชนิดและส่วนต่างๆของเกลียว

เกลียว (Thread) หมายถึงสันหรือร่องที่เกิดขึ้นบนผิวงานวนไปรอบ ๆจะซ้ายหรือขวาก็ไดด้วยระยะทางที่สม่ำเสมอ


เกลียวแบ่งได้ออกเป็น 5 ชนิด

1. เกลียวสามเหลี่ยม

1.1 เกลียวเมตริก (M-Thread)

1.2 เกลียว ISO

1.3 เกลียววิตเวอร์ต

1.4 เกลียวอเมริกัน

1.5 เกลียวยูนิไฟด์

1.6 เกลียวสามเหลี่ยมยอดแหลม

2. เกลียวสี่เหลี่ยม

3. เกลียวสี่เหลี่ยมคาวหมู

3.1 เกลียวTr

3.2 เกลียวAeme

3.3 เกลียวหนอน

4. เกลียกลม

5. เกลียวฟันเลื่อย

 

ส่วนต่างๆของเกลียว

เกลียวแบ่งตามลักษณะหน้าตัดได้หลายแบบซึ่งแต่ละแบบก็มีลักษณะการใช้งานทั้งแบบที่เหมือนกันและแตกต่างกันไปแบ่งออกได้ดังนี้

 

รูปที่ 1 ส่วนต่างๆที่สำคัญของเกลียว

 

Major Diameter คือความยาวเส้นผ่านศูนย์กลางโตนอกของชิ้นงานทั้งของเกลียวนอกและเกลียวในหรือคือขนาดกำหนดนั่นเอง

Minor Diameter คือความยาวเส้นผ่าศูนย์กลางวัดที่โคนเกลียวทั้งของเกลียวนอกและเกลียวใน

Pitch Diameter คือความยาวเส้นผ่าศูนย์กลางวัดที่วงกลมพิตช์

Pitch คือระยะห่างระหว่างตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งไปยังตำแหน่งเดียวกันของเกลียวถัดไปเช่นวัดจากยอดเกลียวถึงยอดเกลียว

Angle of Thread หรือ Included Angle มุมรวมยอดเกลียว

Helix Angle มุมเอียงของฟันเกลียว

Crest คือยอดฟันเกลียว

Root คือโคนเกลียว

Axis of Screw แกนของสลักเกลียว

Depth of Thread ความลึกของเกลียววัดจากยอดเกลียวถึงโคนเกลียว

Number of Thread จำนวนเกลียวต่อนิ้ว

 

1.              เกลียวสามเหลี่ยม

เกลียวสามเหลี่ยมคือเกลียวที่มีพื้นที่หน้าตัดเป็นรูปสามเหลี่ยมมีทั้งเกลียวที่เป็นระบบเมตริกและเกลียวระบบอังกฤษ

 


รูปที่ส่วนสำคัญต่างๆของเกลียวสามเหลี่ยม

 

ส่วนต่างๆที่สำคัญของเกลียวสามเหลี่ยม

1. ยาวเส้นผ่าศูนย์กลางโตนอก (d, D)

2. ของเกลียว (P)

3. ความยาวเส้นผ่าศูนย์กลางโคนเกลียว (d, D1)

4. ความยาวเส้นผ่าศูนย์กลางที่วงกลมพิตช์ (d, D2)

5. ความลึกเกลียว (t1)

6. รัศมีโค้งที่ท้องเกลียว ( R )

7. ขนาดรูเจาะเพื่อทำเกลียว (TDS)

 

1.1 เกลียวเมตริกธรรมดาคือเกลียวที่มีมุมรวมยอดเกลียว 60 องศาแตกต่างจากเกลียวเมตริก ISO ตรง

  

สูตรการคำนวณบางค่าแตกต่างกันเช่นสูตรหาค่าความลึก

 

รูปที่เกลียวเมตริกธรรมดา

 

ตัวอย่างที่ตองการกลึงเกลียว M 14× 2 จงคำนวณหาค่าต่างๆ

 


ตัวอย่างที่ต้องการกลึงเกลียว M 14 × 1.5 จงคำนวณหาค่าต่างๆจากตัวอย่างนี้เป็นตัวอย่างเกลียวละเอียด

 

 

หมายเหตุเกลียวเมตริกละเอียดใช้สูตรการคำนวณเหมือนกันต่างกันตรงระยะพิตช์น้อยกว่า

1.2      เกลียวเมตริก ISO คือเกลียวที่มีมุมรวมยอดเกลียว 60 องศาเป็นเกลียวสามเหลี่ยมที่เป็นมาตรฐานสากลของระบบเมตริกสูตรในการคำนวณแตกต่างจากเกลียวเมตริกธรรมดาและการบอกสัญบักษณ์ของเกลียวที่มีระยะพิตช์มาตรฐานอาจจะไม่บอกระยะพิตช์มาให้แต่ถ้าเป็นเกลียวละเอียดหรือเกลียวพิเศษจะบอกระยะพิตช์มาให้ระยะพิตช์ดูได้จากตารางที่ 1

 

 

รูปที่เกลียวเมตริก ISO

 

ตารางที่ 2เกลียวเมตริก ISO

 

 

1.3 เกลียววิตเวอร์ตคือเกลียวระบบอังกฤษที่คิดค้นขึ้นโดย Mr. Joseph Whitworth เป็นชาวอังกฤษเป็นเกลียวที่มีมุมมนโค้งทั้งยอดเกลียวและโคนเกลียวมีมุมรวมยอดเกลียว 55 องศาบอกเกลียวเป็นจำนวนเกลียวต่อนิ้วการใช้สัญลักษณ์จะบอกด้วยความยาวเส้นผ่าศูนย์กลางโตนอกของเกลียวเป็นนิ้วและตามด้วยจำนวนเกลียวต่อนิ้วและอักษรตัวย่อดังต่อไปนี้

• BSW = (British Standard Whitworth) หมายถึงเกลียววิตเวอร์ตชนิดหยาบ

• BSF = ( British Standard Fine ) หมายถึงเกลียววิตเวอร์ตชนิดละเอียด

 

 

รูปที่เกลียววิตเวอร์ต

 

1.4 เกลียวอเมริกัน (American National Thread) คือเกลียวสามเหลี่ยมที่ใช้หน่วยเป็นนิ้วเหมือนเกลียววิตเวอร์ตแต่มีรูปร่างแตกต่างกันตรงมีมุมรวมยอดเกลียว 60 องศาบอกเป็นจำนวนเกลียวต่อนิ้วสัญลักษณ์ในการบอกจะขึ้นด้วยขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางโตนอกมีหน่วยเป็นนิ้วตามด้วยจำนวนเกลียวต่อนิ้วและตามด้วยอักษรตัวย่อดังต่อไปนี้

• NC (National Coarse Thread Series) หมายถึงเกลียวอเมริกันชนิดเกลียวหยาบ

• NF (National Fine Thread ) หมายถึงเกลียวอเมริกันชนิดละเอียด

• NEF ( National Extra – Fine Thread Series ) หมายถึงเกลียวอเมริกันชนิดพิเศษที่ผลิตมาใช้งานเฉพาะอย่างมีจำนวนเกลียวต่อนิ้วที่แตกต่างจากสองชนิดแรกเมื่อเทียบกับขนาดของเกลียวที่โตเท่ากัน


1.5 เกลียวยูนิไฟด์ (Unified Thread ) คือเกลียวสามเหลี่ยมที่ใช้หน่วยเป็นนิ้วเป็นเกลียวที่ดัดแปลงมาจากเกลียวอเมริกันแต่มาทำให้เป็นมาตราฐานสากลของระบบเกลียวสามเหลี่ยมระบบอังกฤษจึงเรียกว่าเกลียว ISO Inch มีมุมรวมยอดเกลียว 60 องศาบอกเป็นจำนวนเกลียวต่อนิ้วแต่แตกต่างจากเกลียวอเมริกันตรงสูตรการคำนวณเช่นความลึกเกลียวสัญญาลักษณ์ในการบอกจะขึ้นต้นด้วยความยาวเส้นผ่านศูนย์กลางโตนอกมีหน่วยเป็นนิ้วและตามด้วยจำนวนเกลียวต่อนิ้วและตามด้วยอักษรตัวย่อดังนี้

• UNC ( Unified National Coarse Thread Series ) หมายถึงเกลียวยูนิไฟด์ชนิดหยาบ

• UNF ( Unified National Fine Thread Series ) หมายถึงเกลียวยูนิไฟด์ชนิดละเอียด

• UNEF ( Unified National Extra - Fine Thread Series ) หมายถึงเกลียวยูนิไฟด์ชนิดเกลียวพิเศษที่ผลิตมาใช้งานเฉพาะอย่างมีจำนวนเกลียวต่อนิ้วแตกต่างจากสองชนิดแรกเมื่อมีขนาดเกลียวโตนอกเท่ากันตัว

 1.6เกลียวสามเหลี่ยมยอดแหลม ( Sharp V – Thread ) คือเกลียวสามเหลี่ยมที่นำมาใช้ในช่วงเริ่มแรกแต่ในปัจจุบันไม่นิยมใช้เพราะเป็นเกลียวยอดแหลมไม่มีการตัดยอดตัดโคนเกลียวหรือทำการโค้งมนเกลียวแต่อย่างใดเมื่อใช้งานไปยอดฟันจะหักแตกง่ายทำให้เศษที่หักไปติดในเกลียวทำให้การขันติดขัดเป็นเกลียวพื้นฐานที่เกลียวสามเหลี่ยมชนิดต่างๆนำไปดัดแปลงใช้เป็นเกลียวชนิดต่างๆไม่ว่าจะเป็นเกลียวในระบบเมตริกและระบบอังกฤษ

 

รูปที่ 6เกลียวสามเหลี่ยมยอดแหลม

 

2. เกลียวสี่เหลี่ยมคางหมู

2.1 เกลียวสี่เหลี่ยมคางหมูเมตริก ( Tr ) คือมุมที่มีมุมรวมยอดเกลียว 30 องศาเป็นเกลียวที่เหมาะสำหรับใช้ในการส่งกำลังขับเคลื่อนเพราะมีความแข็งแรงกว่าเกลียวสามเหลี่ยมเช่นเกลียวปากกาจับงานและเกลียวเพลานำของเครื่องกลึง

 

รูปที่ 7เกลียวสี่เหลี่ยมคางหมูเมตริก

 

2.2เกลียวสี่เหลี่ยมคางหมูอเมริกัน (Acme )คือเกลียวสี่เหลี่ยมคางหมูเหมือนเกลียวสี่เหลี่ยมคางหมูเมตริกมีมุมรวมยอดเกลียว 29 องศาลักษณะการใช้งานเหมือนกับเกลียวสี่เหลี่ยมคางหมูเมตริกมีการกำหนดขนาดเป็นนิ้วและบอกจำนวนเกลียวต่อนิ้วแทนระยะพิตช์ดังนั้นในการคำนวณถ้าต้องการหน่วยเป็นมิลลิเมตรจะต้องคูณด้วย 25.4 มมจึงจะมีหน่วยเป็นมิลลิเมตร


3.              เกลียวสี่เหลี่ยม ( Square Thread )

คือเกลียวที่มีมุมเป็น 90 องศาและมีความแข็งแรงเหมาะสำหรับงานที่ต้องการส่งกำลังมากๆเช่นเกลียวของปากกาจับงาน


4.              เกลียวฟันเลื่อย ( Buttress Thread )

เหมาะสำหรับงานส่งกำลังที่ต้องการความปลอดภัยเคลื่อนที่ได้สะดวกในทิศทางเดียวอีกทางจะเคลื่อนที่ลงยากเป็นการป้องกันการรูดของเกลียวเหมาะสำหรับใช้ทำอุปกรณ์แม่แรงยกรถหรือของหนักเพราะปลอดภัยกว่าเกลียวชนิดอื่นๆมีมุมรวมยอดเกลียว 30 + 3 องศารวม 33 องศา


รูปที่ 8เกลียวฟันเลื่อย

 

5.              เกลียวกลม ( Knuckle Thread )

คือเกลียวที่มีมุมรวม 30 องศายอดเกลียวและโคนเกลียวโค้งมนเป็นเกลียวในระบบอังกฤษมีการบอกเป็นจำนวนเกลียวต่อนิ้วปัจจุบันได้มีการกำหนดขนาดเป็นมิลลิเมตรแต่ระยะพิตช์เป็นนิ้วเหมาะสำหรับงานที่ต้องการการเคลื่อนที่ได้สะดวกเช่นเกลียวที่ขวดน้ำอัดลมเกลียวหลอดไฟฟ้าเป็นต้น

 

รูปที่ 9เกลียวกลม

 

6.              เกลียวหนอนบราวแอนด์ชาร์ป ( Brown and Shape Worm Thread )คือเกลียวหนอนที่ใช้เฟืองหนอนมีมุมยอดเกลียว 29 องศาต่างจากเกลียว Acme ตรงสูตรในการคำนวณ


7.              วิธีการ   Tap   เกลียวในด้วยมือ

วัสดุที่ใช้ทำ   Tap 

จะทำจากเหล็กกล้าผสมคาร์บอน ( carbon steel ) หรือเหล็กกล้าความเร็วรอบสูง ( high speed steel ) และจะผ่านกระบวนการทำให้แข็ง และอบคืนตัว ดังนั้น  Tap  จะมีความแข็งมากแต่จะหักง่าย

7.1  เครื่องมือทำเกลียวหนึ่งชุดมีสามตัว ประกอบด้วย

7.1.1 ตัวเรียว ( Taper Tap ) แท๊ปตัวนี้จะทำฟันเกลียวให้เรียวตอนปลายประมาณ 6  7 ฟัน แล้วจึงถึงฟันเต็ม เพื่อจะใช้กับงานที่ต้องการทำเกลียวในระยะเริ่มแรกทั้งนี้เพื่อต้องการทำให้ตัวเกลียวในทำงานตัดเบาๆ เป็นเกลียวนำในระยะเริ่มแรกและทำงานได้เที่ยงตรง ถ้างานที่มีขนาดบาง การทำเกลียวก็จะสิ้นสุดที่ตัวที่หนึ่งนี้

7.1.2.  ตัวตาม ( plug  Tap ) แท๊ปตัวนี้จะทำฟันเรียวที่ตอนปลายประมาณ 3  4 ฟัน ใช้ในการทำเกลียวงานที่มีขนาดหนาๆ ซึ่งเป็นตัวที่ใช้ทำเกลียวในระยะขั้นสองหลังจากเกลียวที่ทำนั้นได้ผ่านการใช้ตัวเรียวมาแล้ว ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการทำเกลียวในระยะนี้ให้ดีขึ้น และเพื่อป้องกันการหักชำรุดของเครื่องมือทำเกลียวใน ในบางครั้งอาจใช้ตัวที่สองนี้ทำเกลียวในระยะเริ่มแรกได้ แต่ต้องใช้ความระมัดระวังให้มาก

7.1.3.  ตัวสุดท้าย ( Bottoming Tap ) แท๊ปตัวนี้ที่ปลายของฟันเกลียวจะไม่มีเรียวเป็นตัวที่ใช้งานทำเกลียวในขั้นสุดท้าย หลังจากที่ได้ทำเกลียวโดยใช้ตัวสุดท้ายนี้ไปแล้วจะได้สันเกลียวถูกต้องสมบูรณ์ถึงก้นรู


รูปที่  1จ  ส่วนประกอบลักษณะของ Tap หนึ่งชุดมี 3 ตัว

 

7.2.  ด้ามจับแท๊ป ( Tap Wrench )

เครื่องมือที่ใช้จับแท๊ป เพื่อหมุนทำเกลียวในนั้นเราเรียกว่าด้ามจับแท๊ปมีอยู่ 2 แบบด้วยกันคือ

7.2.1.  ด้ามจับแบบตัวที ( T – Handle tap wrench ) ด้ามจับนี้ใช้กับตัวทำเกลียวในที่มีขนาดเล็กๆ และใช้ทำเกลียวในที่แคบจำกัด

7.2.2.  ด้ามจับแบบปรับแต่งได้ ( Adjustable tap wrench ) ใช้สำหรับจับทำเกลียวในที่มีขนาดเล็กหรือใหญ่ได้  หลายขนาด และใช้ทำเกลียวงานทั่วๆไป ซึ่งด้ามจับแบบนี้นิยมใช้กันมากดังรูป(ยกมาเฉพาะ ด้ามจับแบบปรับแต่งได้)


รูปที่11ด้ามจับแท๊ปแบบปรับแต่งได้

 

การหาขนาดของรูที่เจาะเพื่อทำเกลียวใน สามารถหาได้จากการคำนวณได้ดังนี้

เกลียวเมตริก( metric )หาได้จากสูตร

ขนาดของรูที่เจาะเพื่อทำเกลียว  = f นอกของเกลียว –P  ระยะพิตช์  มม.

และเมื่อ

M = ระบบเมตริก หน่วย มิลลิเมตร ( มม)

f =  เส้นผ่านศูนย์กลาง

P  =  ระยะพิตช์ ( pitch )

 

 

 

ตัวอย่างที่ 1  ต้องการทำเกลียวขนาด M12 X 1.75 จะต้องใช้ใช้ดอกสว่านเจาะรูขนาดเท่าไร

วิธีทำ ขนาดของรูที่เจาะเพื่อทำเกลียว  =  f นอกของเกลียว  ระยะพิตช์ ( pitch )

                    =  12 – 1.75

=  10.25มม.

นั่นคือต้องให้ดอกสว่านขนาด 10.25 มม. เพื่อทำเกลียวขนาด M12 x 1.75                            ตอบ

 

7.3.  ลำดับขั้นตอนปฏิบัติการทำเกลียวในโดยการใช้แท๊ป สำหรับวิธีการตัดเกลียวด้วยแท๊ปมีลำดับขั้นการทำงานดังต่อไปนี้

7.3.1. จับชิ้นงานด้วยปากกา ( clamp ) ให้มั่นคง และพยายามจับชิ้นงานให้อยู่ในตำแหน่งที่ทำงานได้สะดวก

7.3.2 สวมแท๊ปชนิดตัวเรียว ( taper tap ) ลงในรูให้ได้แนวดิ่ง ควรใช้ฉากขนาดเล็กช่วยตรวจสอบ เพื่อให้แท๊ปตั้งตรง


รูปที่ 12 การตั้งลำตัวแท๊ปให้ตั้งฉากกับชิ้นงาน

7.3.3 ใช้มือจับด้ามแท๊ปให้ใกล้แท๊ปมากที่สุด และเริ่มต้นหมุนแท๊ป หมุนไปตามเข็มนาฬิกา ใช้กำลังกดพอเหมาะอย่าให้เอียง

 

รูปที่ 13 การเริ่มต้นตัดชิ้นงานด้วย   Tap

 

7.3.4. ให้เปลี่ยนตำแหน่งของมือที่ใช้จับด้ามแท๊ปใหม่และให้หมุนไปข้างหน้าประมาณ 1/4 รอบ แล้วหมุนกลับจนเศษโลหะหลุดลงไป แล้วหยอดน้ำมันระบายความร้อน

7.3.5. หมุนข้างหน้าประมาณ 1/4 รอบ  หมุนกลับ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนสุดระยะของแท๊ปหรือสุดระยะของงานที่ต้องการทำเกลียวดังรูปที่ 5

 

รูปที่ 14 การจับด้ามและจับ Tap  หลังจากที่ได้เริ่มต้น

7.3.6. เปลี่ยนตัวทำเกลียวตัวที่สองและตัวที่สาม ตามลำดับ

7.3.7. ทำเกลียวตัวสุดท้ายเสร็จ เมื่อเลิกใช้ต้องเช็ดให้สะอาดและเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย

 

ข้อควรระวังในการทำเกลียวในด้วยมือ สามารถพิจารณาได้ดังนี้

·       เศษโลหะที่เกิดจากการตัดเกลียวจะมีความคม จะต้องใช้แปรงปัดออก ไม่ควรใช้มือเพราะจะทำให้เกิดอันตรายได้

·       ทำความสะอาดมือ ชิ้นงาน พร้อมทั้งเครื่องมือเสมอ หลังจากที่ทำงานเสร็จทุกครั้ง

·       เวลาหมุนดอก    TAP    ควรหมุน   ¼   รอบแล้วถอยหลังเพื่อป้องกันดอก    TAP   หัก

 

ขนาดรูเกลียวเมตริก

เกลียว

M3

M3.5

M4

M5

M6

M8

M10

M12

M14

M16

M18

M20

M22

M24

รูเจาะในเหล็กกล้า

2.5

2.9

3.3

4.2

5

6.5

8.5

10

12

13.75

15.25

17.25

19.25

20.75

เหล็กหล่อ

2.4

2.8

3.2

4.1

4.8

6.5

8.2

9.9

11.5

13.5

15

17

19

20.5

 

7.4. การทำเกลียวนอกด้วยมือ(Dieing)

ดายส์เป็นเครื่องมือที่ใช้ทำเกลียวนอกมีลักษณะกลมหรือเป็นรูปแท่งสี่เหลี่ยม ซึ่งมีรูอยู่ตรงกลางมีเกลียวและมีร่องเป็นคมตัดสามารถตัดหรือทำเกลียวบนชิ้นงานกลมได้

ดายส์สำหรับตัดเกลียวด้วยมือมี 2 ลักษณะคือ

7.4.1ลักษณะกลม(Adjustable Round Dies)และมีการปรับขยายรูที่จะทำเกลียวให้ใหญ่หรือเล็กได้ตามต้องการ ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการควบคุมเส้นผ่าศูนย์กลางของชิ้นงาน และความแน่น(fit) ของเกลียว

 

 

7.4.2  ลักษณะเหลี่ยมแบ่งเป็นชนิดสี่เหลี่ยม(Solid Square Dies) และหกเหลี่ยม(Solid hexagon Dies)หรือแบบผ่าซีก(two piece die) อาจจะเป็นชิ้นเดียวหรือแยกเป็น2 ชิ้นเวลาจะนำมาใช้งานจะต้องนำมาประกอบกันโดยนำไปใส่ไว้ในด้ามดายส์และยึดให้แน่นด้วยสกรู ดายส์แบบนี้ไม่ค่อยมีที่นิยมใช้

พิจารณาลักษณะของดายส์แบบต่างๆ ได้ดังรูปที่ 15

 

รูปที่15 ลักษณะของดายส์แบบต่างๆ

 

ดายส์ชนิดที่มีเกลียวซ้าย โดยจะมีอักษร LH ตีไว้บนตัวดายส์ดายส์ชนิดที่มีเกลียวขวาจะเอาไว้ตัดเกลียวขวา และจะไม่มีอักษรอะไรแสดงให้เห็น การบอกขนาดของดายส์ในระบบอเมริกัน จะแสดงให้เห็นถึงจำนวนเกลียวต่อนิ้วที่อยู่บนลำตัวของดายส์ เช่น 1\ 20 NC หมายถึงดายส์ชนิดนั้นจะมีเกลียวตัด 20 เกลียวต่อนิ้วบนชิ้นงานที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง1\4 นิ้ว และตัดเกลียวหยาบในระบบอเมริกันเป็นเกลียวขวา ซึ่งการกำหนดขนาดจำนวนเกลียวต่อนิ้วจะกำหนดตามมาตรฐานของเกลียวชนิดนั้นๆ สำหรับเกลียวระบบเมตริกจะบอกโดยการใช้อักษร ต่อด้วยเส้นผ่าศูนย์กลางที่ใหญ่ที่สุดของเกลียว (มิลลิเมตร) คูณด้วยระยะพิต เช่น M 2.5 x 0.45 อักษร หมายถึงเกลียวในระบบเมตริกมีเส้นผ่าศูนย์กลางที่ใหญ่ที่สุดของเกลียว 2.5 มิลลิเมตร และระยะพิตเท่ากับ 0.45 มิลลิเมตร

 

รูปร่างของดายส์ เกลียว

1.               คมตัด

2.               ร่องคายเศษโลหะ

3.               ร่องแยก

4.               มุมหลบ

5.               ด้านหน้า

 


รูปที่16 รูปร่างของดายส์

ด้ามจับดายส์(Die Stock) จะมีลักษณะในรูปที่ 3 เอาไว้สำหรับจับดายส์และจับตัวดายส์ เมื่อหมุนด้ามจับดายส์ ดายส์ก็จะตัดชิ้นงานให้เป็นเกลียว บางครั้งเราอาจจะเรียกสั้นๆว่า ด้ามจับ (Stock)

รูปร่างของด้ามจับดายส์ ประกอบด้วย

1.               ด้ามหมุน

2.               รูสำหรับสวมดายส์

3.               เกลียวยึดหรือสกรูยึด


รูปที่17 รูปร่างด้ามจับดายส์

 

-                    ก่อนที่จะทำการดายส์เกลียว ควรตรวจสอบขนาดของเกลียวและระยะพิทซ์ของเกลียวที่ต้องการทำเกลียวในเพื่อเลือกขนาดของดายส์ได้ถูกต้องด้วยหวีวัดเกลียว(Screw Pitch Gauge)รูปที่ 9

 

การใช้หวีวัดเกลียวนอก


รูปที่18  Screw Pitch Gauge


รูปที่19 ลักษณะการจับโบล์ทและหวีวัดเกลียววัดเกลียวนอก

 

วิธีการประกอบดายส์กับด้ามจับ

-                    เลือกด้ามจับดอกดายส์ที่สวมกับดายส์ได้พอดีดังรูปที่6

-                    ถ้าเลือกดอกดาย แบบมีร่องผ่า ควรใช้ด้ามจับดายที่มีสกรู 3 ตัวโดยขันสกรูตรงกลางให้ตรงร่องผ่าตัวแรก และขันสกรูตัวริมทั้งสองข้างภายหลัง

-                    การใส่ดอกดายส์แบบไม่มีร่องผ่า ควรขันสกรูตัวกลางเป็นอันดับแรกเช่นเดียวกัน

-                    ลักษณะด้ามจับดายส์ สกรูทีใช้ยึดดอกดายส์ โดยทั่วๆไปเป็นหัวผ่า

-                    ในการปรับสหรูให้ใช้ไขควงขันสกรูหัวผ่า อย่าใช้คีมหรือปากาจับบดซึ่งจะทำให้หัวสกรูชำรุดได้ดังรูปที่ 12

 

รูปที่20 ดายส์และด้ามดายส์ 

 

รูปที่ 20 การยึดดายส์และด้ามจับดายส์

 

 

 

 

การปฏิบัติการตัดเกลียวนอก

-                            ชิ้นงานที่ต้องการดายส์เกลียวขอบที่เริ่มต้นดายส์เกลียวควรใช้ตะใบหรือเครื่องกลึงหลบมุมโดยรอบประมาณ 20 ◦และยาว 2 มิลลิเมตรทั้งนี้เพื่อให้การตัดเกลียวฟันแรกสะดวกและเรียบร้อยยิ่งขึ้นรูปที่ 13

รูปที่ 21 การตะใบชิ้นงานตอนปลายให้มนก่อนจะนำไปตัดเกลียว

-                          การจับดอกดายส์เกลียวในด้ามจับ(Stock) ควรให้ร่องบ่ารับดายส์ อยู่ด้านบนขณะดายส์รูปที่ 14

 

รูปที่ 21

-                    ขณะดายส์เกลียวนอกต้องวางด้ามจับดายส์ให้ตั้งฉากกับชิ้นงาน ละชิ้นงานจะต้องจับด้วยปากกาจับงานให้แน่นไม่เอียงข้างใดข้างหนึ่ง

-                    การดายส์เกลียวนอกชิ้นงานควรจับด้วยปากกาถ้าต้องการยึดให้แน่นหนาควรใช้แผ่นรองเป็นแท่ง-วี ด้ามจับดายส์ และชิ้นงานขณะตัดเกลียวนอกต้องทำมุม 90 ทั้งสองแนว และปลายของงานต้องลบมุมดังรูป


รูปที่22

 

 

-                              การตัดเกลียวนอกที่มีบ่าด้วยดอกดายส์ ตัดเกลียวให้บ่าของด้ามจับอยู่ด้านบน และหมุนตัดเกลียวจนกระทั่งผิวด้านหน้าดายส์สัมผัสกับบ่างานเกลียวสุดท้ายที่ถูกคมตัดจะไม่ถึงบ่าชิ้นงานดังรูป


รูปที่23

-                  ขณะหมุนด้ามจับดอกดายส์ จะต้องออกแรงกดที่ด้ามทั้งสองข้างเท่าๆกัน และให้ตั้งฉากด้วย ครั้งแรกให้ใช้สองมือจับใกล้ๆ กับตำแหนงของดายส์

-                  หมุนด้ามจับดายส์อย่างช้าๆเมื่อได้เห็นว่าตัดเกลียวไป1/4 รอบให้หมุนกลับเพื่อคายเศษโลหะออกอย่าทำการหมุนติดต่อกันไปจนกระทั่งเสร็จการทำเกลียวดังรูป

 

รูปที่24

-                  ใช้วัสดุหล่อเย็นช่วยในการหล่อเย็นโดยหยอดเพียงเล็กน้อยที่ตอนปลายสุดของชิ้นงาน และระหว่างที่ยังทำการตัดเกลียวให้หยอดอยู่เรื่อยๆ

-                  หลังจากตัดเกลียวไปได้ 2  3ฟัน ให้หยุดตรวจดูว่าเครื่องมือทำเกลียวตั้งได้ฉากกับชิ้นงานหรือไม่ ถ้าไม่ได้ฉากต้องเรียบแก้ไขเสียใหม่

-                  ในการตัดเกลียวนอกในระยะเริ่มแรกจะต้องขยายรูที่ฟันดายส์ให้มีขนาดโตที่สุดก่อน เมื่อได้ทำเกลียวผ่านไปครั้งหนึ่งแล้วจึงค่อยๆลดขนาดของรูที่ฟันดายส์ลง โดยลดให้มีขนาดเล็กตามที่ต้องการ

 

ข้อควรระวังในการทำเกลียวนอกด้วยมือ สามารถพิจารณาได้ดังนี้

·       เศษผงที่เกิดจากการตัดเกลียวจะมีความคม จะต้องใช้แปรงปัดออก ไม่ควรใช้มือเพราะจะทำให้เกิดอันตรายได้

·        ควรใช้ดอกตัดเกลียวที่ใหม่และมีความคมอยู่เสมอ

·        ทำความสะอาดมือ ชิ้นงาน พร้อมทั้งเครื่องมือเสมอ หลังจากที่ทำงานเสร็จทุกครั้ง

·        ก่อนทำการตัดเกลียวจะต้องตรวจสอบว่าตัวตัดเกลียว(Dies) และตัวจับยึด(DiesStock) ยึดแน่นติดกัน เพราะถ้าหลุดออกจากกันขณะทำการตัดเกลียวอาจจะทำให้เกิดอันตรายได้

 

งานที่2

 เกลียว ชนิดและส่วนต่างๆของเกลียว เกลียว ( Thread)  หมายถึงสันหรือร่องที่เกิดขึ้นบนผิวงานวนไปรอบ ๆจะซ้ายหรือขวาก็ไดด้วยระยะทางที่สม่ำเสมอ เ...